วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ซากดึกดำบรรพ์

ซากดึกดำบรรพ์ คือซากและร่องรอยของสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ที่เคยอาศัยอยู่ในบริเวณนั้น เมื่อตายลงซากก็ถูกทับถมและฝังตัวอยู่ในชั้นหินตะกอน นักธรณีวิทยา ใช้ซากดึกดำบรรพ์ เป็นหลักฐานบอกกล่าวถึงประวัติความเป็นมาของพื้นที่ต่างๆ ซึ่งสามารถบอกถึงสภาพแวดล้อม ในอดีตว่าเป็นบนบกหรือในทะเล เป็นต้น นอกจากนั้นซากดึกดำบรรพ์ ยังสามารถบอกช่วงอายุของหินชนิดอื่นที่เกิดอยู่ร่วมกับหินตะกอนเหล่านั้นได้ด้วย
ซากดึกดำบรรพ์ดัชนี






ซากดึกดำบรรพ์ดัชนี (index fossil) เป็นซากดึกดำบรรพ์ที่บอกอายุได้แน่นอน เนื่องจากเป็นซากดึกดำบรรพ์ที่มีวิวัฒนาการทางโครงสร้างและรูปร่างอย่างรวดเร็ว มีความแตกต่างในแต่ละช่วงอายุอย่างเห็นเด่นชัดและปรากฎให้เห็นเพียงช่วงอายุหนึ่งแล้วก็สูญพันธุ์ไป ได้แก่ ไทรโลไบต์ แกรพโตไลต์ ฟิวซูลินิด
ไทรโลไบต์
ฟิวซูลินิด
ซากดึกดำบรรพ์ของฟิวซูลินิด ในหินปูนบริเวณบ้านหนองหิน อำเภอหนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์ อายุประมาณ 290 ล้านปี ภาพในกรอบเล็กขยายให้เห็นห้องหลายๆ ห้องที่ประกอบกันเป็นฟิวซูลินิด ซึ่งเป็นสัตว์ทะเลที่สูญพันธุ์แล้ว จัดเป็นซากดึกดำบรรพ์ดัชนี



กระบวนการเกิดซากดึกดำบรรพ์
การเกิดซากดึกดำบรรพ์ส่วนมากจะมีปัจจัยสำคัญสองประการคือโครงร่างส่วนที่เป็นของแข็งของสิ่งมีชีวิตกับกระบวนการเก็บรักษาซากเหล่านั้น เมื่อสิ่งมีชีวิตล้มตายลง โครงร่างส่วนที่เป็นของแข็ง เช่น กระดูก ฟัน กะโหลก กิ่งก้าน ใบไม้ และเปลือกหอย เป็นต้น จะเหลืออยู่เป็นซาก ซากเหล่านี้จะถูกเก็บรักษาไว้เป็นซากดึกดำบรรพ์ ด้วยกระบวนการสองอย่าง คือ การตกตะกอนทับถมลงบนซากและการที่สารละลายของแร่ธาตุเข้าแทนที่ซากอย่างรวดเร็ว ทำให้แบคทีเรียไม่สามารถเจริญเติบโตได้ เมื่อแข็งตัวจึงกลายเป็นซากดึกดำบรรพ์ให้ศึกษาได้ ส่วนมากซากของสิ่งมีชีวิตจะถูกเก็บรักษาไว้ได้ดีบริเวณริมฝั่งแม่น้ำ ทะเลสาบและท้องทะเล ทั้งนี้เพราะบริเวณเหล่านั้นมีตะกอนเม็ดเล็กสะสมตัวมาก สภาพแวดล้อมค่อนข้างสงบ ซากไม่ถูกทำลายให้แตกหักมาก
ภาพแสดงกระบวนการเกิดซากดึกดำบรรพ์


ส่วนที่อ่อนนุ่ม เช่น เนื้อปลา จะเปื่อยยุ่ยและสลายไปเหลือส่วนที่เป็นของแข็งได้แก่ กระดูกอยู่ในท้องทะเลเวลาผ่านไปนานเข้ามีการสะสมตะกอนทับถมลงบนซากเดิม และซากกระดูกเดิมของปลา ถูกแทนที่ด้วยสารละลายของแร่ธาตุต่างๆเปลือกโลกมีการยกตัวขึ้น ชั้นหินที่มีซากดึกดำบรรพ์ก็มีการเอียงเทและค่อยๆถูกยกตัวสูงขึ้น น้ำทะเลหายไปกลายเป็นแผ่นดินมีต้นไม้ขึ้นต่อมาชั้นหินที่มีซากดึกดำบรรพ์ถูกกัดเซาะผุพัง ซากนั้นอาจจะถูกกัดเซาะหลุดออกจากชั้นหินเดิมหรือชั้นหิน ตอนบนถูกกัดเซาะหายไปทำให้เห็นหินชั้น ที่มีซากดึกดำบรรพ์ได้
ซากดึกดำบรรพ์ที่ถูกเก็บรักษาอยู่ในชั้นหินเมื่อถูกกัดเซาะผุพังโดยตัวการต่าง ๆ เช่น น้ำ ลม หรือฝน จะปรากฏให้เห็นตามธรรมชาติ นอกจากนั้นเมื่อเกิดแผ่นดินไหว หรือการเคลื่อนไหวของเปลือกโลกลักษณะต่าง ๆ จะทำให้ชั้นหินเอียงเทและบางครั้งชั้นหินตอนบนถูกชะล้างออกไป จนซากดึกดำบรรพ์นั้นปรากฏให้เห็นได้ชัดเจน รูปแบบหรือผลที่ได้จากกระบวนการเก็บรักษาซากดึกดำบรรพ์ตามธรรมชาติ มี 2 ลักษณะ คือ รอยพิมพ์ (mold หรือ mould) และรูปพิมพ์ (cast) กล่าวคือ เมื่อสิ่งมีชีวิตล้มตายลงบนตะกอนแล้วมีตะกอนชุดใหม่ถูกพัดพามาทับถมลงบนซากจะทำให้มีแรงกดอัดลงบนชั้นตะกอนที่ยังไม่แข็งตัว จึงเกิดเป็นรอยพิมพ์ขึ้น ส่วนมากรอยพิมพ์จะเห็นเฉพาะส่วนผิวหรือเปลือกด้านนอกของสิ่งมีชีวิตเท่านั้น และถ้ารอยพิมพ์นั้นถูกเติมเต็มด้วยตะกอน หรือแร่ที่ทับถมลงมา ก็จะเป็นผลให้เกิดเป็นเหมือนรูปจำลอง หรือรูปที่ถอดแบบออกมาจากเบ้าของซากเดิม รูปจำลองที่เกิดขึ้นใหม่นี้ เรียกว่า รูปพิมพ์ ส่วนมากรูปพิมพ์มักจะไม่มีโครงสร้างส่วนที่เป็นของแข็งของซากเดิมให้สังเกตได้
รูปพิมพ์ของหอยซึ่งจะเห็นทั้งรูปพิมพ์ที่เป็นธรรมชาติ มีเปลือกนอกห่อหุ้ม ส่วนที่เหลือจะเห็นว่าเปลือกนอกผุพังไป ซึ่งจะเห็นรูปพิมพ์ด้านใน
รูปพิมพ์และรอยพิมพ์ของหอยงวงช้าง
รอยพิมพ์กับรูปพิมพ์มักจะสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะการสะสมตะกอน ณ ที่นั้น และการแทรกซึมเข้าไปของสารละลายแร่ธาตุต่าง ๆ ซึ่งส่วนมากจะเป็นสารละลายของแร่แคลไซต์ เหล็ก และซิลิกา เป็นต้น สารละลายเหล่านี้จะแทรกซึมเข้าไปในกระดูก หรือเนื้อเยื่อของซาก ซึ่งต่อมาจะทำให้กระดูกหรือเนื้อเยื่อของซากนั้นถูกแทนที่ด้วยแร่ธาตุอย่างสมบูรณ์แบบ โดยไม่เหลือกระดูกให้เห็นเลย เมื่อตะกอนและซากนั้นแข็งตัวเป็นหินเป็นลักษณะของรูปพิมพ์ และบางครั้งถ้าการแทรกซึมเข้าไปของตะกอนและสารละลายของแร่ธาตุเข้าไปแทนที่ส่วนแข็งไม่หมด ก็จะเหลือส่วนที่เป็นของแข็งของซากเดิมปรากฏให้เห็นได้ ซากชิ้นนั้นก็จะเป็นรูปพิมพ์อีกเช่นกัน แต่ถ้าในขณะที่มีการสะสมตะกอนซากนั้นผุพังไปหมด เหลือแต่โพรงที่เป็นเค้าโครงของซากเดิมประทับอยู่ในชั้นตะกอน ซากเหล่านั้นก็จะมีลักษณะเป็นรอยพิมพ์
ลักษณะของซากหอยดึกดำบรรพ์ในหินทรายแป้งซึ่งมีทั้งรอยพิมพ์ (ส่วนเว้า) และรูปพิมพ์ (ส่วนนูน) ภาพจากบ้านวังดินสอ อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก
นอกจากนั้นในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม จะมีกระบวนการเกิดซากดึกดำบรรพ์สมบูรณ์เหมือน “มัมมี่” ซึ่งจะเป็นการเก็บรักษาร่างของสัตว์ไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบทั้งร่าง โดยทั้งเนื้อ หนัง กระดูก และเส้นผม ยังคงเหลือให้เห็น โดยผ่านกระบวนการฝังกลบ หรือทับถมตะกอนลงในตัวกลางที่เหมาะสมอย่างรวดเร็วเช่นช้างที่เก็บรักษาอยู่ในธารน้ำแข็ง อายุ 10,000 – 9,000 ปี ซากดึกดำบรรพ์ที่เป็นมัมมี่ จึงมักเป็นซากที่มีอายุน้อย

รูปแบบและชนิดของซากดึกดำบรรพ์
1. ซากดึกดำบรรพ์ที่เป็นร่องรอย หมายถึง ซากที่เกิดจากกิจกรรมของสิ่งมีชีวิตในอดีตที่อาศัยอยู่ ณ บริเวณนั้น ส่วนมากจะเห็นเป็นร่องรอย ไม่ได้เป็นกระดูก หรือโครงร่าง เช่น ทางเดิน หรือรอยเท้า (tracks) ของสิ่งมีชีวิต หรืออาจเป็นร่องรอยอย่างอื่นจากการดำรงชีวิตของสัตว์ในอดีต เช่น รอยกัดแทะ ช่องหรือรูที่อยู่อาศัย รัง และไข่ของสัตว์ รูหากิน (feeding burrow) เป็นต้น นอกจากนั้นมูลของสัตว์ (coprolites) รวมทั้งหินที่สัตว์กินเข้าไปเพื่อช่วยย่อยอาหาร (gastroliths) ก็จัดเป็นซากดึกดำบรรพ์ที่เป็นร่องรอยเช่นกัน ในประเทศไทย พบร่องรอยของซากดึกดำบรรพ์ดังกล่าวในหินชั้นหลายชนิด ร่องรอยเหล่านี้ต้องใช้การแปลความหมายว่าเป็นของสัตว์ชนิดใด บางชนิดจึงไม่สามารถที่จะใช้กำหนดอายุ แต่สามารถที่จะบอกสภาพแวดล้อมในอดีตได้ดี เช่น รูหนอนทะเล และรูหากินของหอยบางชนิด เป็นต้น
รอยเท้าไดโนเสาร์กินเนื้อบนหินทรายแสดงถึงการเดินหากินในพื้นทรายริมน้ำในอดีตเมื่อประมาณ 135 ล้านปีที่ผ่านมา ภาพจากบริเวณภูแฝก กิ่งอำเภอนาคู จังหวัดกาฬสินธุ์
รูปพิมพ์ของรูหากินสัตว์ทะเลบริเวณที่ราบน้ำขึ้นถึง เมื่อประมาณ 5,000 ปีที่ผ่านมา ภาพจากบริเวณบ้านปากบ่อ อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร
2. ซากดึกดำบรรพ์ที่เป็นรูปร่าง แบ่งออกเป็นหลายชนิด ดังนี้ 2.1 ซากดึกดำบรรพ์ขนาดเล็ก ประเทศไทยมีซากดึกดำบรรพ์ขนาดเล็กหลายชนิดบอกอายุ ตลอดจนสภาพแวดล้อมในการสะสมตะกอนของหินได้ดี ซากเหล่านี้บางชนิดอาจพบเห็นด้วยตาเปล่า แต่บางชนิดก็มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า อย่างไรก็ตามการศึกษาซากดึกดำบรรพ์ขนาดเล็กต้องศึกษาผ่านกล้องจุลทรรศน์ ซากเหล่านี้มีทั้งซากพืช และสัตว์ ถ้าเป็นพืชมักจะเป็นส่วนของเรณู เพราะมีเปลือกแข็ง ทนทานต่อการกัดเซาะผุพัง เรณูของพืชจะบ่งชี้ถึงลักษณะของภูมิอากาศและภูมิศาสตร์บรรพกาลได้ดีกว่าการชี้บ่งอายุ เนื่องจากสามารถปลิวไปกับลม ไปสะสมตัวในพื้นที่ไกลจากแหล่งต้นกำเนิด ซึ่งส่วนมากจะใช้ควบคู่กับการศึกษาซากพืชในช่วงยุคคาร์บอนนิเฟอรัส ตั้งแต่ 355 ล้านปีขึ้นไป สำหรับซากขนาดเล็กที่เป็นสัตว์ ส่วนมากจะเป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว มีเปลือกแข็งห่อหุ้ม จึงสามารถคงสภาพของซากอยู่ในชั้นหินได้ เช่น พวกเรดิโอราเรีย พวกไดอะตอมที่เป็นสาหร่ายเซลล์เดียว และมีเปลือกหุ้มที่เป็นซิลิกา เปลือกเหล่านี้เมื่อทับถมกันมาก ๆ เป็นเวลานานก็แข็งตัวอัดกันแน่นมากเป็นหิน เรียก ไดอะทอไมต์(diatomite หรือ ดินเบา) ไดอะทอไมต์มีประโยชน์ในการใช้เป็นตัวกรองในอุตสาหกรรมต้มกลั่น ทำปูนขาว และเซรามิก เป็นต้น พบมากที่จังหวัดลำปาง
ไดอะตอมขยาย 350 เท่า ผ่านกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบส่องกราด มีอายุตั้งแต่ 25 ล้านปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน พบอยู่ในชั้นตะกอนบริเวณที่ลุ่ม อำเภอศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี
ชั้นของไดอะทอไมต์ที่ทับถมยึดกันแน่นอยู่ใต้ชั้นกรวดทราย บริเวณเหมืองบ้านฟ่อน จังหวัดลำปางนอกจากนั้นซากขนาดเล็ก ที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งในประเทศไทย คือ ฟิวซูลินิด หรือที่เรียกกันว่า “คตข้าวสาร” เป็นสัตว์เซลล์เดียวที่มีลักษณะเรียวคล้ายเม็ดข้าว ใช้เป็นซากดึกดำบรรพ์ดัชนี ของยุคคาร์บอนิเฟอรัสตอนปลาย ถึงยุคเพอร์เมียน (ประมาณ 355 – 250 ล้านปี) จะพบมากในหินปูน บริเวณจังหวัดราชบุรี สระบุรี และยังพบในจังหวัดอื่น ๆ อีก เช่นกัน
ซากดึกดำบรรพ์ของฟิวซูลินิด ในหินปูนบริเวณบ้านหนองหิน อำเภอหนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์ อายุประมาณ 290 ล้านปี ภาพในกรอบเล็กขยายให้เห็นห้องหลายๆ ห้องที่ประกอบกันเป็นฟิวซูลินิด ซึ่งเป็นสัตว์ทะเลที่สูญพันธุ์แล้ว จัดเป็นซากดึกดำบรรพ์ดัชนี
2.2 ซากดึกดำบรรพ์ของพืช พืชเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีประวัติยาวนาน ตั้งแต่เริ่มแรกของโลกในยุคพรีแคมเบรียน ที่พบซากดึกดำบรรพ์ของสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน จนกระทั่งถึงประมาณสี่ร้อยล้านปีที่ผ่านมา พืชบนโลกส่วนมากก็ยังคงเป็นสาหร่ายที่อยู่ในน้ำ ซากดึกดำบรรพ์ของสาหร่ายจะพบน้อยมาก ยกเว้นพวกที่อยู่กันเป็นกลุ่มก้อน และที่มีโครงร่างเป็นแคลเซียมคาร์บอเนตต่อมาพืชวิวัฒนาการขึ้นมาอยู่บนบกและได้เปลี่ยนแปลงรูปร่างลักษณะทั้งภายนอกและภายในเพื่อให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมบนบกโดยมีการพัฒนาของระบบท่อลำเลียงและเนื้อไม้ให้แข็งแกร่ง มีโครงร่างที่แข็งแรง เหมาะสมต่อการยังชีพบนบกได้จากการพัฒนาเหล่านี้ ทำให้พืชได้แพร่กระจายขึ้นมาสู่สภาพแวดล้อมบนบกที่เกิดขึ้นบนโลก ตั้งแต่ยุคไซลูเรียน (ประมาณ 435 ล้านปี) เป็นต้นมา เริ่มแรกจะเป็นพืชที่เป็นหัว เป็นหน่อ ยังไม่มีใบ ต่อมาจึงมีพืชจำพวกเฟิร์นเกิดขึ้น ตามมาด้วยพืชที่คล้ายปาล์ม สน แล้วพันธุ์พืชชั้นสูงก็เกิดตามขึ้นมาเรื่อย ๆ
ซากดึกดำบรรพ์ของใบเฟิร์น (Gleichenoides frantiensis)ในหินทรายแป้งสีเทาปนเขียวอายุประมาณ 135 ล้านปีที่ผ่านมาริมถนนสายตรัง-สิเกา (ก.ม.27.1) จังหวัดตรัง

ซากดึกดำบรรพ์ของพืชที่พบในหิน มีเกือบทุกส่วนของพืช ตั้งแต่ลำต้น กิ่งก้าน ใบและมักพบในหินที่สะสมตัวในสภาพแวดล้อมเป็นกรด เช่น ในหินโคลน และหินดินดานและมักจะมีกระบวนการเกิดที่สัมพันธ์กับการเกิดถ่านหิน ซึ่งในเหมืองถ่านหินของประเทศไทยก็เป็นแหล่งที่จะหาซากดึกดำบรรพ์ของพืชได้ดีเช่นกัน นอกจากนั้นก็อาจพบซากพืชในหินทราย และมักจะพบส่วนที่เป็นลำต้นซึ่งเกิดจากการที่สารละลายของแร่แทรกซึมเข้าไปในเนื้อเยื่อของต้นไม้ ที่ล้มตายลงอย่างช้า ๆ จนในที่สุดก็แทรกซึมไปทั่วทั้งต้น เมื่อแข็งตัวกลายเป็นหิน ก็เรียกว่า ไม้กลายเป็นหิน (petrified wood) ซึ่งอายุของไม้กลายเป็นหินในประเทศไทยจะพบมากในช่วง 200 – 65 ล้านปี (ยุคมีโซโซอิก) ในบริเวณที่ราบสูงโคราช และภาคใต้ของไทย

ไม้กลายเป็นหินพบในหินทรายแป้งอายุประมาณ 200 ล้านปี บริเวณแหลมจมูกควาย อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่
2.3 ซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง สัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลังเป็นซากดึกดำบรรพ์ที่พบมากที่สุด ทั้งนี้เพราะสัตว์พวกนี้มีเปลือกแข็ง อยู่กันเป็นกลุ่มหนาแน่นและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเกิดซากดึกดำบรรพ์ในขณะเสียชีวิตซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังนี้พัฒนาสืบเนื่องมาตั้งแต่ 3,500 ล้านปี จนกระทั่งมาเริ่มมีลักษณะเด่นชัดในยุคแคมเบรียน (545 ล้านปีที่ผ่านมา) เช่น ฟองน้ำ แมงกระพรุน และปะการัง ในบรรดาสัตว์เหล่านี้ แมงกระพรุนจะพบเห็นเป็นซากดึกดำบรรพ์น้อยมาก แต่ซากดึกดำบรรพ์ส่วนใหญ่ที่พบเป็นพวกปะการัง นอกจากนั้นก็พบสิ่งมีชีวิตพวกโปรโตซัวที่อยู่ในทะเลและอาศัยอยู่เป็นกลุ่ม ซึ่งเริ่มพบตั้งแต่สี่ร้อยล้านปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน หอยตะเกียง หรือแบรคิโอพอด เป็นหอยทะเลที่มีฝาสองฝาไม่เท่ากัน พบเป็นซากดึกดำบรรพ์หลายชนิด มีช่วงอายุตั้งแต่ 545 ล้านปีถึงปัจจุบัน แต่บางชนิดเป็นซากที่เด่นของยุคคาร์บอนิเฟอรัส – เพอร์เมียน
ซากดึกดำบรรพ์ของปะการังในหินปูนชนิดเวนซีลอยเดส (Wentzelloides sp.) อายุประมาณ 250 ล้านปี บริเวณวัดวิสุทธิมรรคาราม อำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์
ซากดึกดำบรรพ์ของแบรคิโอพอด ชนิดนิโอสไปริเฟอร์ (Neospirifer sp.)ในหินดินดาน อายุประมาณ 360 ล้านปีบริเวณอำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย (ปฏิทินปตท.สผ. 2536)
นอกจากนั้นซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่สำคัญซึ่งพบในไทย เป็นพวก “อาร์โทรพอด” ซึ่งได้แก่สัตว์ที่มีกระดอง เช่น ปู กุ้ง แมลง และไทรโลไบท์(ลักษณะคล้ายแมงดาทะเล) บางชนิดเป็นซากดึกดำบรรพ์ดัชนีของยุคแคมเบรียน เช่น ไทรโลไบต์ที่พบในหินทรายที่เกาะตรุเตา ซากดึกดำบรรพ์ชนิดนี้มีอายุจนถึงยุคเพอร์เมียนแล้วก็สูญพันธุ์ไป นอกจากนั้น “หอย” (mollusks) เป็นสัตว์อีกกลุ่มหนึ่งที่พบซากดึกดำบรรพ์มาก ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในทะเล และเป็นซากดึกดำบรรพ์ที่คงสภาพได้ดี ซึ่งแบ่งแยกได้หลายชนิด ที่พบมากในไทยเป็นพวกแกสโทรพอด (Gastropods) พบมากทั้งในน้ำจืดและน้ำเค็ม ซากดึกดำบรรพ์ที่มีชื่อเสียง ได้แก่ ซากหอยน้ำจืดที่สุสานหอยแหลมโพธิ์ จังหวัดกระบี่เป็นหอยฝาเดียวที่ขดซ้อนกันเป็นวงเรียวขึ้นไป ส่วนพวกที่ขดม้วนเป็นวงคล้ายเลขหนึ่งไทยจัดเป็นพวกเซฟาโรพอด (cepharopod) เช่น หอยงวงช้าง ซึ่งพบอยู่หลายยุคในไทย นอกจากนั้นก็เป็นพวกหอย 2 ฝา ที่มีฝาประกบเท่ากัน เรียกว่า พิริไซพอด เช่นที่พบอยู่ในหินดินดานและเป็นซากดึกดำบรรพ์ดัชนีของหินยุคไทรแอสซิก ที่ลำปาง
ซากดึกดำบรรพ์ของไทรโลไบต์ ซึ่งเป็นสัตว์ทะเลที่สูญพันธุ์ไปแล้ว มีการพัฒนารูปร่างเป็นอย่างมากเมื่อประมาณ 500 ล้านปีที่ผ่านมา จากภาพเป็นตัวอย่างซากดึกดำบรรพ์ของไทรโลไบต์ในหินดินดาน อายุประมาณ 500 ล้านปี จากมลรัฐยูทาร์ สหรัฐอเมริกา ในประเทศไทยพบซากฯชนิดนี้ทั้งในหินดินดาน หินทรายและหินปูน แต่ซากฯ ส่วนมากไม่ค่อยสมบูรณ์
ซากดึกดำบรรพ์ของหอยขมน้ำจืดซึ่งเป็นหอยกาบเดียว อายุประมาณ 40 ล้านปี บริเวณสุสานหอยบ้านแหลมโพธิ์ อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่

ซากดึกดำบรรพ์ของหอยงวงช้าง (ammonoid) ในหินปูนที่เขาชนโถ อำเภอหนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์ อายุประมาณ 290-270 ล้านปี
ซากดึกดำบรรพ์ของปูในบริเวณที่ราบน้ำขึ้นถึงเดิม (old tidal flat) อายุประมาณ 5,000 ปีก่อนปัจจุบัน A-B เป็นด้านหน้าและหลังของตัวอย่างจากจังหวัดตราด C-D เป็นด้านหน้าและหลังของตัวอย่างจากบ้านแพรกษา จังหวัดสมุทรปราการ (วิฆเนศ ทรงธรรม เอื้อเฟื้อภาพ)
เอคิโนเดิร์ม (Echinoderms) เป็นกลุ่มสัตว์ที่พบเห็นเป็นซากดึกดำบรรพ์มากอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีวิวัฒนาการมายาวนาน บางชนิดสูญพันธุ์ไปแล้วแต่ส่วนใหญ่จะดำรงพันธุ์อยู่จนถึงปัจจุบัน เช่น ปลาดาว ปลิงทะเล พลับพลึงทะเล หอยเม่น เป็นต้น นอกจากนั้นก็เป็นพวกแกรปโทไลต์ ซึ่งเป็นสัตว์ที่ลอยน้ำ มีลักษณะเป็นกลุ่มก้อนที่ประกอบด้วยอวัยวะหลายส่วน จัดเป็นซากดึกดำบรรพ์ดัชนีในยุคไซลูเรียนถึงคาร์บอนิเฟอรัส ในประเทศไทยซากชนิดนี้พบมากที่ อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ และที่อำเภอละงู จังหวัดสตูล ส่วนพลับพลึงทะเล (crinoids) ได้ชื่อเช่นนี้ เพราะเป็นสัตว์ที่มีลักษณะคล้ายพืช พบเป็นซากดึกดำบรรพ์ตั้งแต่ยุคโอโดวิเชียนจนถึงปัจจุบัน จึงเป็นซากที่บ่งบอกอายุได้ไม่ดี แต่บ่งบอกสภาพแวดล้อมที่เคยเป็นทะเลน้ำลึกมาก่อน สัตว์ในกลุ่มเอคิโนเดิร์มนี้มีวิวัฒนาการคล้ายสัตว์ชั้นสูง มีโครงร่างที่ค่อนข้างแข็งแรง ประกอบด้วยแคลไซต์ และมีระบบท่อลำเลียง ซากดึกดำบรรพ์ที่พบส่วนมากจะเป็นสัตว์ทะเล บางชนิดเกาะติดกับพื้นทะเล และบางชนิดก็มุดรูอยู่
ซากดึกดำบรรพ์ของปลาดาวเปราะในหินทรายแป้ง (Eospondylus sp.) อายุประมาณ 345 ล้านปีที่ผ่านมา บริเวณอำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี (ปฏิทิน ปตท.สผ.พ.ศ.2536)
ซากดึกดำบรรพ์แกรปโทไลต์ในหินดินดานสีดำ เส้นทางเชียงใหม่-ฝาง (กม.ที่ 105) แสดงถึงสภาพแวดล้อมที่เป็นทะเลในช่วงอายุประมาณ 400-300 ล้านปีที่ผ่านมา (ภาพจากหนังสือธรณีวิทยาของประเทศไทย กรมทรัพยากรธรณี 2544)
2.4 ซากดึกดำบรรพ์สัตว์มีกระดูกสันหลัง สัตว์กลุ่มนี้เป็นกลุ่มใหญ่ ประกอบด้วยปลา สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์เลื้อยคลาน นก และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มีลักษณะที่คล้ายคลึงกันหลายอย่าง เช่น การมีสมองและไขสันหลัง กระดูกสันหลัง โครงร่างที่แบ่งออกเป็น 2 ส่วนเท่ากัน และมีกล้ามเนื้อในร่างกายเป็นรูปตัววี

ซากดึกดำบรรพ์ของปลาในหินดินดานปนทราย พบมากเมื่อประมาณ 50 ล้านปีที่ผ่านมา (ยุคเทอร์เชียรี) ส่วนมากเป็นปลาน้ำจืดที่อาศัยอยู่ในหนองหรือทะเลสาบ
ซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์เลื้อยคลานทะเล พบในหินปูน ที่อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง อายุประมาณ 250-230 ล้านปี เป็นซากที่พบเป็นครั้งแรกในประเทศไทยจึงให้ชื่อว่า Thaisaurus chonglakmanii (เยาวลักษณ์ ชัยมณี เอื้อเฟื้อภาพ)
ซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์มีกระดูกสันหลังเริ่มแรกที่พบ มักจะเป็นส่วนแข็งของร่างกาย เช่น กระดูกหรือฟันของปลา โดยเริ่มพบตั้งแต่ยุคไซลูเรียนถึงดีโวเนียน ต่อมาพบซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์มีกระดูกสันหลังของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ เช่น “ซาลามันเดอร์”สัตว์มีกระดูกสันหลัง จัดเป็นสัตว์ชั้นสูงเนื่องจากโครงร่างกระดูกที่มีเนื้อและหนังหุ้ม มีกล้ามเนื้อและที่สำคัญคือการสามารถปรับตัวได้ตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์มีกระดูกสันหลังเป็นซากดึกดำบรรพ์ที่พบน้อย เนื่องจากสัตว์มีกระดูกสันหลังส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่บนบกและเมื่อล้มตายลงการเก็บรักษาซากเป็นไปได้ยากกว่าในน้ำ ตัวอย่างแหล่งซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์มีกระดูกสันหลังของไทยคือแหล่งซากไดโนเสาร์ที่ภูเวียงและภูกุ้มข้าว ไดโนเสาร์เริ่มปรากฏให้เห็นบนโลกในยุดไทรแอสซิกจนถึงยุคครีเทเซียส (ประมาณ 250-65 ล้านปี) ก็สูญพันธุ์ไปจากโลก โดยครอบครองโลกอยู่ประมาณ 190 ล้านปี ไดโนเสาร์มีทั้งพวกที่กินเนื้อและกินพืช พวกที่กินเนื้อจะสังเกตเห็นรอยเท้าที่มีเล็บยาวและแหลมคมเพื่อใช้ฆ่าสัตว์ ส่วนพวกที่กินพืชจะมีฟันและจงอยปากพิเศษสำหรับกัดเล็มใบไม้และบางชนิดจะกินก้อนกรวดเพื่อช่วยในการบดย่อยอาหาร ก้อนกรวดนี้เรียกว่า “แกสโตลิธ” จัดเป็นซากดึกดำบรรพ์ชนิดหนึ่งเช่นกัน

ซากดึกดำบรรพ์ของไดโนเสาร์กินพืช ประกอบด้วยลำตัวสะโพกและหางม้วนตวัดขึ้นไป ส่วนหัวหายไป อายุประมาณ 135 ล้านปีที่ผ่านมา บริเวณภูกุ้มข้าว อำเภอสหัสขันท์ จังหวัดกาฬสินธุ์ (วราวุธ สุธีธร เอื้อเฟื้อภาพ)
การสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์เมื่อ 65 ล้านปีก่อนก่อให้เกิดทฤษฎีหลายเรื่องที่จะอธิบายปรากฏการณ์นี้ เช่นทฤษฎีว่าด้วยอุกกาบาตขนาดใหญ่พุ่งชนโลก ทำให้เกิดเมฆฝนหนาปกคลุมโลกปิดกั้นแสงอาทิตย์ ความหนาวเย็นและอากาศที่แปรปรวน ทำให้แหล่งอาหารขาดแคลนและสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงจนในที่สุดไดโนเสาร์ก็สูญพันธุ์ เหลือแต่สัตว์ขนาดเล็กที่สามารถปรับตัวได้เท่านั้นที่ดำรงพันธุ์ต่อมาได้ภูเขาไฟระเบิดหลายๆลูกก็เป็นอีกทฤษฎีหนึ่ง เพราะความร้อน แก๊สฝุ่นและเถ้าภูเขาไฟที่ปกคลุมโลกจะทำให้ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์สูงมาก ทำให้อากาศร้อนจัด มีฝนกรด เป็นต้น ดอกไม้ที่มีพิษก็อาจมีส่วนในการทำลายล้างไดโนเสาร์ที่กินพืช เมื่อล้มตายก็เป็นเหยื่อให้กับไดโนเสาร์กินเนื้อ ซึ่งกินเนื้อที่มีพิษเข้าไปก็ทำให้ล้มตายตามไปด้วย จากทฤษฎีการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ เป็นหลักฐานให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมที่มีผลต่อการดำรงพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต สัตว์มีกระดูกสันหลังที่รอดชีวิตจากการสูญพันธุ์ในครั้งที่แล้วสืบต่อพันธุ์ได้แก่สัตว์เลื้อยคลานจำพวกจระเข้ เต่าและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมรวมทั้งลิงและเอพ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นสายพันธุ์มนุษย์มีวิวัฒนาการมาอย่างยาวนานตั้งแต่ 3 ล้านปีที่แล้วหลายกลุ่มจนกระทั่งวิวัฒนาการเป็นมนุษย์พันธุ์ปัจจุบัน (modern man) เมื่อประมาณ 40,000 ปีที่ผ่านมานี้เอง
(ข้อมูลเพิ่มเติม)

ประเภทของซากดึกดำบรรพ์
ซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์มักจะมี 2 ส่วน หลังจากถูกฝังลงไปแล้ว ตัวสัตว์จะเน่าเปื่อย และทิ้งส่วนที่เป็นแบบพิมพ์กลวง ๆเอาไว้ ถ้ามีตะกอนตกลงไปและแข็งตัวกลายเป็นรูปหล่อ ซากดึกดำบรรพ์ดัชนี(Index Fossil) ซากดึกดำบรรพ์ที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะในหินบริเวณใดบริเวณหนึ่งสามารถใช้บ่งบอกอายุของชั้นหินนั้นได้
ซากดึกดำบรรพ์ของฟิวซูลินิด ในหินปูนบริเวณบ้านหนองหิน อำเภอหนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์ อายุประมาณ 290 ล้านปี ภาพในกรอบเล็กขยายให้เห็นห้องหลายๆ ห้องที่ประกอบกันเป็นฟิวซูลินิด ซึ่งเป็นสัตว์ทะเลที่สูญพันธุ์แล้ว จัดเป็นซากดึกดำบรรพ์ดัชนี
ซากดึกดำบรรพ์เฉพาะแหล่ง( facies fossil) ซากดึกดำบรรพ์ชนิดที่พบอยู่เฉพาะในชั้นหินที่กำหนด หรือเป็นชนิดที่ปรับตัวให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ในสภาพแวดล้อมที่จำกัดในแหล่งเกิดชั้นหินนั้นแล้ว สภาพแวดล้อมดังกล่าวนี้เป็นสภาพแวดล้อมที่ผิดแปลกไปจากสภาพปรกติโดยทั่วไป ซากดึกดำบรรพ์แทรกปน(Introduced Fossils; infiltrated fossil) หมายถึง ซากดึกดำบรรพ์ที่มีอายุอ่อนกว่า ถูกนำพาเข้าไปแทรกปนอยู่กับซากดึกดำบรรพ์หรือหินที่มีอายุแก่กว่า ปรากฏการณ์นี้มักเกิดขึ้นกับซากดึกดำบรรพ์เล็ก ๆซึ่งอยู่ในชั้นหินตอนบนที่ของเหลวนำพาลงไปชั้นหินตอนล่างที่มีอายุแก่กว่า ตามรอยแตก รูหรือโพรงของสัตว์และช่องว่างที่เกิดจากรากไม้ซากดึกดำบรรพ์ปริศนา( Dubio fossil ) โครงสร้างซึ่งน่าจะมีต้นกำเนิดจากสิ่งมีชีวิต แต่เนื่องจากไม่สามารถแยกรายละเอียดได้ จึงไม่แน่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่ ซากดึกดำบรรพ์พัดพา(Reworked fossil ) เป็นซากดึกดำบรรพ์ที่อยู่ในชั้นหินเดิม ต่อมาหินนั้นถูกกัดกร่อน ซากดึกดำบรรพ์จึงถูกพัดพาไปสะสมตัวอยู่ในชั้นหินที่มีอายุอ่อนกว่า ซากประจำหน่วย ( Characteristic fossil ว diagonostic fossil) หมายถึงสกุลหรือชนิดของซากดึกดำบรรพ์ที่นำมาใช้เป็นเครื่องอ้างถึง กำหนดหรือเป็นลักษณะเฉพาะตัวของหน่วยหิน หรือหน่วยเวลา โดยใช้ชนิดที่พบอยู่ในเฉพาะชั้นหินนั้น หรือชนิดที่พบมีปริมาณมากมายในชั้นหินนั้นได้ คล้ายกับซากดึกดำบรรพ์ดัชนี ซากดึกดำบรรพ์ของมนุษย์ (โฮมินิตส์) ซากดำบรรพ์ที่พบทำให้ทราบว่าลักษณะเฉพาะของมนุษย์ปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกในมนุษย์ออสตราโลพิทิคัส ซึ่งยังคงมีลักษณะเหมือนลิง การเปลี่ยนแปลงจากซากสิ่งมีชีวิตมาเป็นซากดึกดำบรรพ์นั้น ทำได้ในหลายลักษณะ โดยที่เมื่อสิ่งมีชีวิตตายลง ส่วนต่างๆของสิ่งมีชีวิตจะค่อยๆถูกเปลี่ยน ช่องว่าง โพรง หรือรู ต่างๆในโครงสร้างอาจมีแร่เข้าไปตกผลึกทำให้แข็งขึ้น เรียกขบวนการนี้ว่า petrified หรือ เนื้อเยื้อ ผนังเซลล์ และส่วนแข็งอื่นๆ ถูกแทนที่ด้วยแร่ โดยขบวนการ replacement เปลือกหอยหรือสิ่งมีชีวิต ที่จมอยู่ตามชั้นตะกอน เมื่อถูกละลายไปกับน้ำบาดาล จะเกิดเป็นรอยประทับอยู่บนชั้นตะกอน ซึ่งเรียกลักษณะนี้ว่า mold หากว่าช่องว่างนี้มีแร่เข้าไปตกผลึก จะได้ซากดึกดำบรรพ์ ในลักษณะที่เรียกว่า cast สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่มีลักษณะบอบบาง เช่นพวกแมลง การเก็บรักษาให้กลายเป็นซากดึกดำบรรพ์ โดยปกติทำได้ยาก วิธีการที่เหมาะสม สำหรับสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ ก็คือการเก็บไว้ในยางไม้ (amber) ซึ่งยางไม้นี้จะป้องกันสิ่งมีชีวิตเหล่านี้จากการทำลายโดยธรรมชาติ นอกจากนี้ ซากดึกดำบรรพ์ยังอาจเป็นร่องรอย (tracks) ที่เกิดจากสิ่งมีชีวิต เช่น ร่องรอยของสิ่งมีชีวิต รอยคืบคลาน รอยเท้า ที่อยู่ในชั้นตะกอนและกลายเป็นหินในระยะเวลาต่อมา หรืออาจเป็นช่อง รู โพรง (burrows) ในชั้นตะกอน ในเนื้อไม้ หรือในหิน ที่เกิดจากสิ่งมีชีวิตและมีแร่ไปตกผลึกในช่องเหล่านี้ มูลสัตว์หรือเศษอาหารที่อยู่ในกระเพาะ (coprolites) เป็นซากดึกดำบรรพ์ ที่มีประโยชน์ในการบอกถึงนิสัยการกินของสัตว์นั้นๆ หรืออาจเป็นก้อนหินที่สัตว์กินเข้าไป (gastroliths) เพื่อช่วยในการย่อยอาหาร ซากของสิ่งมีชีวิตหรือซากชิ้นส่วนของร่างกายสิ่งมีชีวิตสมัยดึกดำบรรพ์ที่คงรูปร่างให้เห็นได้ตัวอย่างเช่น 1. กระดูกและฟันของสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง ซากของสิ่งมีชีวิตที่แห้งสนิทซึ่งพบในบริเวณที่ร้อนจัด หรือซากสิ่งมีชีวิตที่พบอยู่ตามถ้ำและอุโมงค์ ซากสิ่งมีชีวิตที่ถูกเก็บรักษาไว้ใต้น้ำแข็งบริเวณขั้วโลกหรือบ่อถ่านหิน ในแหล่งน้ำมันหรือหินทราย 2. แมลง แมงมุม ชิ้นส่วนของดอกไม้ และสิ่งอื่นๆที่ฝังตัวอยู่ในยางไม้ 3. เปลือกหอยต่างๆโครงร่างแข็งที่เป็นที่อยู่ของประการัง ฟองน้ำ และสาหร่ายบางชนิดที่มีสารพวกแคลเซียมประกอบอยู่ด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะฝังตัวอยู่ในหินปูน 4. โปรโตซัวและไดอะตอมที่มีโครงสร้างเป็นสารพวกซิลิกาหรือแคลเซียมตายและตกตะกอนทับถมอยู่ที่ก้นมหาสมุทร แข็งตัวจับกันเป็นชั้นหนา 5. เกสรดอกไม้ และชิ้นส่วนของดอกไม้ที่ไม่เน่าเปื่อยผุพัง เนื่องจากตกลงไป จมปลักในโคลนที่มีกรดบางชนิดสะสมอยู่ 6. ซากของสิ่งมีชีวิตหรือซากชิ้นส่วนที่แข็งกลายเป็นหิน ตัวอย่างเช่น ชิ้นส่วนของกระดูกหรือเปลือกหุ้มตัวสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง เช่น แมลง กุ้ง เปลือกหอย หรือเนื้อเยื่อพืชที่มีสารพวกซิลิกาแทรกเข้าไปแทนที่ ซากเหล่านี้ฝังตัวอยู่ในหินทราย ภายหลังหินทรายถูกกระแสลมพัดสึกกร่อนหรือถูกกระแสน้ำชะหินทรายที่อยู่รอบข้างผุกร่อนไหลตามน้ำ เหลือแต่ซากดึกดำบรรพ์ซึ่งมีเนื้อละเอียดแน่นกว่า จึงไม่ผุกร่อนและปรากฏให้เห็น 7. ร่องรอยหรือรอยพิมพ์ซากสิ่งมีชีวิตสมัยดึกดำบรรพ์ พบในหินทรายเนื้อละเอียดและในหินชนวน โดยมากมักเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีร่างกายอ่อนนิ่ม เช่น แมงกะพรุน บางครั้งอาจเป็นเปลือกหอยสองฝาที่ฝังตัวอยู่ในถุงทราย ภายหลังเปลือกหอยสลายไปมีสารพวกซิลิกาบรรจุอยู่เต็มในช่องว่างแทนที่เปลือกหอย ร่องรอยเช่นนี้อาจแสดงให้เห็นส่วนด้านนอกของเปลือกหอยก็ได้ 8. ร่องรอยทางเดินของสิ่งมีชีวิตที่เหยียบย่ำบน โคลนตม ซึ่งสามารถคงสภาพไว้โดยมีตะกอนมาทับถมบนรอยเท้าเหล่านั้น และเกิดการแข็งตัวขึ้นเรื่อยๆภายหลัง 9. ผลิตภัณฑ์ที่สิ่งมีชีวิตสร้างและขับออกมาสะสมไว้ เช่นแนวประการังต่อมากลายเป็นหินปูน 10. ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากกระบวนการสลายตัวของสิ่งมีชีวิต ซึ่งเกิดขึ้นอย่างไม่สมบูรณ์ เช่น น้ำมันปิโตรเลียม ถ่านหิน แกรไฟต์ เป็นต้น
(ข้อมูลเพิ่มเติม)
อายุซากดึกดำบรรพ์ อายุหิน
การบอกอายุของซากดึกดำบรรพ์หรืออายุหิน สามารถบอกได้ 2 แบบคือ การบอกอายุเชิงเปรียบเทียบ(Relative Age)และการบอกอายุสมบูรณ์(Absolute age) อายุเปรียบเทียบ(Relative Age) คืออายุทางธรณีวิทยาของซากดึกดำบรรพ์ หิน ลักษณะทางธรณีวิทยา หรือเหตุการณ์ทางธรณีวิทยา เมื่อเปรียบเทียบกับซากดึกดำบรรพ์ หิน ลักษณะทางธรณีวิทยา หรือเหตุการณ์ทางธรณีวิทยาอื่น ๆแทนที่จะบ่งบอกเป็นจำนวนปี ดังนั้นการบอกอายุของหินแบบนี้จึงบอกได้แต่เพียงว่าอายุแก่กว่าหรืออ่อนกว่าหิน หรือซากดึกดำบรรพ์ อีกชุดหนึ่งเท่านั้น โดยอาศัยตำแหน่งการวางตัวของหินตะกอนเป็นตัวบ่งบอก( Index fossil) เป็นส่วนใหญ่ เพราะชั้นหินตะกอนแต่ละขั้นจะต้องใช้ระยะเวลาช่วงหนึ่งที่จะเกิดการทับถม เมื่อสามารถเรียงลำดับของหินตะกอนแต่ละชุดตามลำดับก็จะสามารถหาเวลาเปรียบเทียบได้ และจะต้องใช้หลักวิชาการทางธรณีวิทยา( Stratigraphy )ประกอบด้วย การศึกษาเวลาเปรียบเทียบโดยอาศัยหลักความจริง มี อยู่ 3 ข้อคือ 1. กฎการวางตัวซ้อนกันของชั้นหินตะกอน(Law of superposition) ถ้าหินตะกอนชุดหนึ่งไม่ถูกพลิกกลับโดยปรากฏการณ์ทางธรรมชาติแล้ว ส่วนบนสุดของหินชุดนี้จะอายุอ่อนหรือน้อยที่สุด และส่วนล่างสุดจะมีอายุแก่หรือมากกว่าเสมอ 2. กฎของความสัมพันธ์ในการตัดผ่านชั้นหิน(Law of cross-cutting relationship ) หินที่ตัดผ่านเข้ามาในหินข้างเคียงจะมีอายุน้อยกว่าหินที่ถูกตัดเข้ามา 3. การเปรียบเทียบของหินตะกอน(correlation of sedimentary rock) ศึกษาเปรียบเทียบหินตะกอนในบริเวณที่ต่างกันโดยอาศัย ก. ใช้ลักษณะทางกายภาพโดยอาศัยคีย์เบด(key bed) ซึ่งเป็นชั้นหินที่มีลักษณะเด่นเฉพาะตัวของมันเอง และถ้าพบที่ไหนจะต้องสามารถบ่งบอกจดจำได้อย่างถูกต้องถึงว่าชั้นหินที่วางตัวอยู่ข้างบนและข้างล่างของคีย์เบดจะมีลักษณะแตกต่างกันออกไปในแต่ละบริเวณด้วย ข. เปรียบเทียบโดยใช้ซากดึกดำบรรพ์(correlation by fossil) มีหลักเกณฑ์คือ ในชั้นหินใด ๆถ้ามีซากดึกดำบรรพ์ที่เหมือนหรือคล้ายคลึงกันเกิดอยู่ในตัวของมันแล้ว ชั้นหินนั้น ๆย่อมมีอายุหรือช่วงระยะเวลาที่เกิดใกล้เคียงกับซากดึกดำบรรพ์ที่สามารถใช้เปรียบเทียบได้ดี เป็นช่วงระยะเวลาสั้น ๆ แต่เกิดอยู่กระจัดกระจายเป็นบริเวณกว้างขวางมากที่สุด ฟอสซิลเหล่านี้เรียกว่า ไกด์ฟอสซ
(ข้อมูลเพิ่มเติม)http://learn.chanpradit.ac.th/fossils/age-fossil.htm

ประโยชน์ของซากดึกดำบรรพ์
1. ใช้ในการบอกและเปรียบเทียบอายุของหินในทางธรณีวิทยา เพราะสัตว์และพืชในแต่ละยุคมีลักษณะแตกต่างกัน เช่น ถ้าพบซากดึกดำบรรพ์หอย 2 ฝาสกุล Trigonioides ในหินกรวดมนปนปูน ที่ตำบลหินดาด อำเภอด่านขุนทด ซึ่งปัจจุบัน ได้รับการกำหนดอายุให้อยู่ในยุคครีเตเชียส (140 – 66 ล้านปีก่อน) และพบหอยดังกล่าวในชั้นหินที่ตำบลโคกกรวด อำเภอเมืองนครราชสีมาด้วย แสดงว่าชั้นหินทั้ง 2 บริเวณ มีอายุอยู่ในยุคเดียวกัน ชั้นหินอื่น ๆ ที่วางตัวอยู่ตอนล่างควรจะมีอายุมากกว่า เป็นต้น2. ทำให้ทราบถึงวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต เพราะซากดึกดำบรรพ์เป็นเสมือนบันทึกของวิวัฒนาการของพืชและสัตว์ต่าง ๆ เช่น ม้าในสกุล Equus ปัจจุบัน มีหลักฐานซากดึกดำบรรพ์ที่เป็นบรรพบุรุษย้อนถอยไปในอดีตถึงประมาณ 50 ล้านปีก่อนหรือในสมัยอีโอซีน (58 – 37 ล้านปีก่อน) เรียกว่า Eohippus มีขนาดเล็ก นิ้วเท้าหน้า – หลังมี 4 นิ้วและ 3 นิ้ว ตามลำดับ แต่ในสมัยต่อ ๆ มา ได้วิวัฒนาการด้านขนาดที่ใหญ่เพิ่มขึ้น จำนวนนิ้วเท้าลดลง จนเหลือเพียงนิ้วเดียวในปัจจุบัน ซึ่งเป็นการปรับตัวให้วิ่งได้บนพื้นที่แข็ง วิ่งเร็วขึ้น และฟันซึ่งมีตัวฟันสั้นในสมัยแรก ได้วิวัฒนาการมาเป็นตัวฟันที่ยาวเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้เหมาะกับหญ้าที่สากและมักมีเม็ดทรายติดอยู่ตามกอหญ้า ซึ่งทำให้ฟันสึกเร็ว นั่นคือ จากพื้นที่เดิมสมัยแรก ๆ เป็นทุ่งหญ้า ที่ราบ พรรณไม้พุ่ม ต่อมาเปลี่ยนไปเป็นที่ราบสูง ชั้นหินตื้นหรือโผล่และทุ่งหญ้ากึ่งทะเลทราย3. ทำให้ทราบถึงลักษณะทางภูมิศาสตร์บรรพกาลของพื้นที่ ครั้งเมื่อพืชหรือสัตว์เหล่านั้นมีชีวิตอยู่ เช่น ถ้าพบซากดึกดำบรรพ์ปะการัง หรือ คตข้าวสาร (fusulinid) ในภูเขาหินปูนแถบอำเภอปากช่อง แสดงว่า บริเวณดังกล่าวเมื่อประมาณ 285 – 260 ล้านปีก่อน (คตข้าวสารเป็นสัตว์เซลล์เดียว เคยมีแพร่หลายในทะเลของช่วงเวลาดังกล่าว และได้สูญพันธุ์ไปหลังจากนั้น) เคยเป็นทะเลตื้นในเขตอบอุ่นค่อนข้างร้อนถึงเขตร้อนมาก่อน ครั้นต่อมาได้ยกตัวขึ้นเป็นภูเขาสูงในภายหลัง หรือการพบซากดึกดำบรรพ์ใบเฟิร์นกรอสซอปเทอริส (Glossopteris) และสัตว์เลื้อยคลานลีสโตรซอรัส (Lystrosaurus) อายุยุคเพอร์เมียม (285 – 245 ล้านปีก่อน) และยุคไทรแอสซิกช่วงต้น (245 – 225 ล้านปีก่อน) ในทวีปแอนตาร์คติกาและทางตอนใต้ของทวีปอเมริกาใต้ แอฟริกา ออสเตรเลียและอนุทวีปอินเดีย แสดงว่า ในช่วงเวลาดังกล่าว แผ่นทวีปและอนุทวีปทั้ง 5 แผ่น เคยติดต่อกันเป็นผืนแผ่นดินเดียวกันในซีกโลกใต้ (Prothero and Dott, 2004) และมีชื่อเรียกว่า มหาทวีปกอนด์วานาแลนด์ (Gondwanaland) แต่ในยุคต่อ ๆ มา แผ่นดินต่าง ๆ ได้เคลื่อนตัวมาทางเหนือ ยกเว้นทวีปออสเตรเลีย โดยเฉพาะอนุทวีปอินเดีย รวมทั้งแผ่นดินย่อย ๆ ในส่วนของอินโดจีนและเอเชียตะวันออกที่อยู่ใกล้กัน ได้เคลื่อนย้ายมาไกลสุด ข้ามเส้นศูนย์สูตรมาชน มุดและติดต่อกับทวีปเอเชีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมหาทวีปลอเรเชีย (Laurasia) ตั้งแต่สมัยอีโอซีนช่วงต้น (ประมาณ 50 ล้านปีก่อน) (กรมทรัพยากรธรณี, 2542) ปัจจุบัน
(ข้อมูลเพิ่มเติม)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น